วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อันตรายจากคลื่นโทรศัพท์

 ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเราเป็นอย่างมาก  หลาย ๆ  คนมีโทรศัพท์มือถือมากกว่า เครื่อง  หรือใน เครื่องก็มีมากกว่า ซิม  หากวันใดลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้านก็จะรู้สึกขาดความมั่นใจทันที  เพราะหลาย ๆคนเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้ในโทรศัพท์มือถือ แ ละนั่นก็ส่งผลให้เราจดจำอะไรได้น้อยลง  เช่น  หมายเลขโทรศัพท์ต่าง ๆ  ทุกวันนี้เมื่อเราผ่านไปตามท้องถนนหรือห้างสรรพสินค้าก็จะเห็นวัยรุ่นคุยโทรศัพท์กันตลอดเวลา  บ้างก็แชทหรือโพสต์ข้อมู,ใน Social Network ปลูกผักปลูกหญ้ากันในโทรศัพท์ขณะเดินห้างสรรพสินค้า  ซึ่งก็นับว่าเป็นนวัตกรรมที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว  เมื่อเปรียบเทียบกับสิบปีที่แล้ว  ที่โทรศัพท์มือถือรุ่นแรก ๆ  ของ Motorola ยังได้รับสมญาว่าเป็น “รุ่นกระติกน้ำ”
                                                               


              อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากโทรศัพท์มือถือใช้คลื่นวิทยุในการส่งสัญญาณ  จึงมีความตระหนักถึงอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือ  โดยเฉพาะในเด็ก ๆ  ที่พัฒนาการทางสมองยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่  ดังนั้นที่ผ่านมาจึงมีงานวิจัยเพื่อไขข้อข้องใจถึงความสัมพันธ์ระหว่าง  “คลื่นโทรศัพท์มือถือ”  กับการเกิด  “โรคมะเร็ง”  อย่างมากมาย  และมีการสรุปผลทั้งไม่มีความเกี่ยวข้องกัน  และการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง  ดังนั้น  อยู่ที่ผู้บริโภคว่าจะเลือกรับฟังข้อสรุปแบบใด  ทั้งนี้  จะขอสรุปเฉพาะในส่วนที่มีผลการศึกษาว่ามีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็ง
              งานวิจัยในประเทศฟินแลนด์ที่มี  “องค์การความปลอดภัยด้านรังสีและนิวเคลียร์”  ของฟินแลนด์เป็นผู้ทำการศึกษา  โดยองค์การฯ  แยกเก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้ใช้มือถือเกือบ 5,000 คน  แบ่งเป็นผู้ใช้มือถือที่ป่วยเป็นมะเร็งสมองชนิด Gliomas จำนวน 1,521 คน  และผู้ใช้ที่ไม่เป็นมะเร็งสมองอีก 3,301 คน  เมื่อไม่นำเอาปัจจัยเกี่ยวกับระยะเวลาของการใช้มือถือมาพิจารณา  คณะผู้วิจัยไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างมือถือกับการเกิดมะเร็งสมอง  อย่างไรก็ตาม  เมื่อนำปัจจัยเรื่องเวลาเข้ามาคิดด้วย  จะพบว่า  ร้อยละ 37  ของกลุ่มผู้ที่ใช้มือถือที่จะเป็นมะเร็งสมองล้วนแต่มีประวัติการใช้มือถือมานานกว่า 10 ปี  ทั้งนี้  มะเร็งที่ตรวจพบ  ได้แก่  มะเร็งชนิด Gliomas  หรือมะเร็งบริเวณระบบประสาท  นอกจากนั้น  ตำแหน่งที่เกิดมะเร็งจะเกิดขึ้นภายในศีรษะข้างที่ต้องแนบติดกับตัวเครื่องมือถือเป็นประจำ  เบื้องต้นจึงตั้งสมมติฐานได้ว่า  ความถี่และระยะเวลาของการใช้มือถือนั้นยิ่งนานเท่าไหร่  ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงก่อให้เกิดมะเร็งสมอง
               ผลวิจัยในสวีเดนเตือนเด็กและวัยรุ่นว่ามีความเสี่ยงเพิ่ม 5เท่าที่จะเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรงจากการใช้โทรศัพท์มือถือ  โดยนักวิจัยระบุว่าเด็กมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่เนื่องจากสมองและระบบประสาทยังพัฒนาไม่เต็มที่  นอกจากนี้ด้วยการที่เด็กมีศีรษะขนาดเล็กกว่าและกะโหลกบางกว่ายังทำให้คลื่นพลังงานจากโทรศัพท์มือถือสามารถทะลุทะลวงเข้าสู่สมองเด็กได้มากกว่า  และงานวิจัยจากสวีเดนที่เผยแพร่ต่อที่ประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยโทรศัพท์มือถือและสุขภาพของผู้ใช้ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่อังกฤษเมื่อเร็ว ๆ นี้  มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งว่าด้วยความเสี่ยงจากการแพร่กระจายคลื่นพลังงานที่เป็นต้นเหตุของมะเร็ง  โดยศาสตราจารย์เลนนาร์ต  ฮาร์เดลล์  จากมหาวิทยาลัยฮอสปิตอลในโอเรโบร  สวีเดน  ผู้นำการวิจัยแถลงต่อที่ประชุมว่า  ผู้ที่เริ่มใช้โทรศัพท์มือถือก่อนอายุ 20 ปี  มีโอกาสเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรงเพียง 50 % เท่านั้น  และแค่ เท่าสำหรับมะเร็งบริเวณส่วนต่อของหูกับสมอง  และศาสตราจารย์ฮาร์เดลล์กล่าวว่า  ผลศึกษานี้ถือเป็นสัญญาณอันตราย  และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี  ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือ  ยกเว้นเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน  ส่วนวัยรุ่นควรใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรีหรือชุดหูฟัง  และควรใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อพิมพ์ข้อความเป็นหลัก  สำหรับคนอายุ 20 ปีขึ้นไป  ความเสี่ยงจะลดลงเนื่องจากสมองมีการพัฒนาเต็มที่แล้ว  ศาสตราจารย์ฮาร์เดลล์ยังยอมรับว่า  อันตรายต่อเด็กและวัยรุ่นอาจมีมากกว่าที่พบในการศึกษานี้  เนื่องจากการศึกษานี้ไม่ได้แสดงผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือระยะยาว  ขณะที่มะเร็งส่วนใหญ่ใช้เวลานานกว่า 10 ปีในการก่อตัว  หรือยาวนานกว่าช่วงเวลาที่ใช้โทรศัพท์มือถือเริ่มวางขายในตลาด  นอกจากนี้  งานวิจัยนี้ยังแสดงให้เห็นว่าผู้ใหญ่ที่ใช้อุปกรณ์สื่อสารชนิดนี้นานกว่า 10 ปีมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรงและมะเร็งบริเวณส่วนต่อของหูกับสมอง  อย่างไรก็ดีศาสตร์จารย์ฮาร์เดลล์ยอมรับว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นระยะเวลายาวนานเพิ่มความเสี่ยงสำหรับคนที่เริ่มต้นใช้ในวัยรุ่นอย่างไร  จึงควรทำการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

               งานวิจัยที่ให้ผลในลักษณะเดียวกันอักงานหนึ่งเป็นของDr.George Carlo  นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน  โดยสรุปว่า  การใช้โทรศัพท์มือถืออาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง  พร้อมได้กล่าวถึงผลการศึกษาที่ยังไม่ได้มีการตีพิมพ์ออกมาว่า  การใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกในสมองชนิดที่พบไม่บ่อยนักเช่นเดียวกับผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน
               งานวิจัยของมหาวิทยาลัยบริสตอล  ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ  ซึ่งศึกษากับผู้ใหญ่จำนวน 36 คน  โดยให้ได้รับรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีขนาดเดียวกับที่ปล่อยออกมาจากโทรศัพท์มือถือเป็นเวลา 20 – 30 นาที  ปรากฏว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าวทำให้หน้าที่ของ visual cortex เปลี่ยนไป  ดังนั้น  นักวิจัยจึงได้แนะให้ใช้โทรศัพท์มือถือให้ได้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
            การศึกษาวิจัยเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือมาก ๆ  จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งในสมองหรือไม่นั้น  ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง  ถึงจะมีนักวิจัยหลายสำนักได้ผลิตผลงานวิจัยออกมาว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการใช้โทรศัพท์มือถือจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในสมองมากขึ้นแต่ในงานวิจัยเหล่านั้นก็มักสรุปในตอนท้ายว่ายังไม่สมบูรณ์แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์  ยังจะต้องมีการทำวิจัยเพิ่มเติม
            เพื่อความปลอดภัยในการใช้โทรศัพท์มือถือ  ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
1.      ใช้ไมโครโฟนแบบเสียบหูฟัง  (Headset)  หรือ Bluetooth เพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์ที่มาจากโทรศัพท์มือถือพุ่งตรงเข้าที่สมอง
2.      เปิดลำโพงขณะคุยโทรศัพท์  แต่อาจไม่เหมาะนักสำหรับการคุยเรื่องส่วนตัว
3.      ใช้วิธีส่งข้อความแทนการพูด
4.      เลือกซื้อโทรศัพท์มือถือประเภทกำลังการกระจายรังสีต่ำ
5.      คุยโทรศัพท์ครั้งละสั้น ๆ

ถึงแม้จะมีบทความมากมายเกี่ยวกับอันตรายจากโทรศัพท์มือถือในการก่อให้เกิดโรคมะเร็ง  แต่ปัจจุบันนี้ได้มีการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากโทรศัพท์มือถือเพื่อรักษาโรคมะเร็งด้วยเช่นกัน  โดยคณะแพทย์จากMIT และฮาร์วาร์ดได้คิดค้นชิป microNMR  ซึ่งภายในเป็นสนามแม่เหล็กที่อยู่ในรูปแบบอนุภาคนาโน  สามารถวัดโปรตีนและส่วนประกอบทางเคมีอื่น ๆ  ที่ส่งผลต่อการเกิดเนื้องอกได้โดยเมื่อต้องทำการตรวจก็เพียงตัดเนื้อเยื่อขนาดเล็กใส่ไว้ในอุปกรณ์เสริมของมือถือที่ออกแบบมาเพื่อตรวจเนื้องอกโดยเฉพาะ  จากนั้นมือถือก็จะสามารถวิเคราะห์อัตราการเกิดเนื้องอกที่เป็นส่วนสำคัญก่อให้เกิดมะเร็งได้ภายใน ชั่วโมงผ่านหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์  โดยอุปกรณ์ชิ้นนี้มีต้นทุนเพียง7,000 บาท  ทั้งผลการวิจัยยังระบุอีกว่า  ผลการวิเคราะห์แม่นยำถึง 96 %  (สูงกว่าแบบเก่าที่ใช้เครื่องขนาดใหญ่และต้องรออีกหลายวันที่มีความแม่นยำ 94 %)  เทคโนโลยีนี้มีความสำคัญต่อมนุษยชาติอย่างมาก  เพื่อที่จะบอกคนไข้ได้ไวและแม่นยำที่สุดถึงอัตราการเสี่ยงที่จะเกิดโรคร้ายและสามารถป้องกันได้ทันท่วงที

สำหรับประเด็นด้านการกำหนดกฎหมายในการใช้โทรศัพท์มือถือนั้น  ณ  ขณะนี้  มีเพียงการเคลื่อนไหวในประเทศอเมริกา  โดยสภาร่างกฎหมายรัฐเมน  ประเทศสหรัฐอเมริกา  กำลังจะทำให้รัฐเมนเป็นพื้นที่แรกที่ออกกฎให้ผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือทุกเครื่องที่วางจำหน่ายในรัฐ  ต้องติดฉลากเตือนผู้ใช้ว่ามีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งสมอง  รัฐเมนมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น 950,000 คนจากประชากรรวม 1.3 ล้านคน  โดยในขณะนี้สหรัฐฯมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น 270 ล้านคน  เพิ่มขึ้นจาก110 ล้านคนในปี 2000  ถึงแม้การศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จำนานมาก รวมถึงผู้ผลิตจะยืนยันว่าการใช้โทรศัพท์มือถือจะไม่มีผลใดๆ ก็ตาม  โดยแนวคิดการติดฉลากคำเตือนเรื่องมะเร็งสมองในกล่องโทรศัพท์มือถือถูกเปิดเผยบนเวทีประชุมสภาร่างกฎหมายแห่งชาติสหรัฐอเมริกาหรือNational Conference of State Legislators และนายกเทศมนตรีของซานฟรานซิสโกก็กำลังพยายามผลักดันให้ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองแรกที่ออกกฎให้กล่องโทรศัพท์มือถือต้องติดฉลากเตือนมะเร็งเช่นกัน
ที่มา: สำนักความปลอดภัยแรงงาน

วันสุนทรภู่

26 มิถุนายน วันสุนทรภู่


สุนทรภู่
สุนทรภู่

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก pantip.com โพสต์โดย คุณนายรถซุง

          ถ้าเอ่ยชื่อ "สุนทรภู่" เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกวีชาวไทยที่มีชื่อเสียงก้องโลก โดยเฉพาะกลอนนิทานเรื่อง "พระอภัยมณี" จนได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้านงานวรรณกรรม  หรือ “มหากวีแห่งรัตนโกสินทร์" หรือ “เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย" และคงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า "วันที่ 26 มิถุนายน" ของทุกปีคือ "วันสุนทรภู่" ซึ่งมักจะมีการจัดนิทรรศการ ประกวดแต่งคำกลอน เพื่อแสดงถึงการรำลึกถึง เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงไม่พลาด ขอพาไปเปิดประวัติ "วันสุนทรภู่" ให้มากขึ้นค่ะ...

ชีวประวัติ "สุนทรภู่"

          สุนทรภู่ กวีสำคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 เวลา 2 โมงเช้า หรือตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 เวลา 8.00 น. นั่นเอง ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน) บิดาของท่านเป็นชาวกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ชื่อพ่อพลับ ส่วนมารดาเป็นชาวเมืองฉะเชิงเทรา ชื่อแม่ช้อย สันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง เชื่อว่าหลังจากสุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าร้างกัน บิดาออกไปบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง อันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดาได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ดังนั้น สุนทรภู่จึงได้อยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา และได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งสุนทรภู่ยังมีน้องสาวต่างบิดาอีกสองคน ชื่อฉิมและนิ่ม อีกด้วย

          "สุนทรภู่" ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน ในกรมพระคลังสวน แต่ไม่ชอบทำงานอื่นนอกจากแต่งบทกลอน ซึ่งสามารถแต่งได้ดีตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่ม เพราะตั้งแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักแต่งกลอนยิ่งกว่างานอื่น ครั้งรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามในคลองบางกอกน้อย ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึ้นไว้ เมื่ออายุราว 20 ปี

          ต่อมาสุนทรภู่ลอบรักกับนางข้าหลวงในวังหลังคนหนึ่ง ชื่อแม่จัน ซึ่งเป็นบุตรหลานผู้มีตระกูล จึงถูกกรมพระราชวังหลังกริ้วจนถึงให้โบยและจำคุกคนทั้งสอง แต่เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. 2349 จึงมีการอภัยโทษแก่ผู้ถูกลงโทษทั้งหมดถวายเป็นพระราชกุศล หลังจากสุนทรภู่ออกจากคุก เขากับแม่จันก็เดินทางไปหาบิดาที่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อ “พ่อพัด” ได้อยู่ในความอุปการะของเจ้าครอกทองอยู่ ส่วนสุนทรภู่กับแม่จันก็มีเรื่องระหองระแหงกันเสมอ จนภายหลังก็เลิกรากันไป

          หลังจากนั้น สุนทรภู่ ก็เดินทางเข้าพระราชวังหลัง และมีโอกาสได้ติดตามพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ในฐานะมหาดเล็ก ตามเสด็จไปในงานพิธีมาฆบูชา ที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2350 และเขาก็ได้แต่ง “นิราศพระบาท” พรรณนาเหตุการณ์ในการเดินทางคราวนี้ด้วย และหลังจาก “นิราศพระบาท” ก็ไม่ปรากฏผลงานใดๆ ของสุนทรภู่อีกเลย

          จนกระทั่งเข้ารับราชการในปี พ.ศ. 2359 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนแต่งตั้งให้เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด เนื่องจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งกลอนบทละครในเรื่อง "รามเกียรติ์" ติดขัดไม่มีผู้ใดต่อกลอนได้ต้องพระราชหฤทัย จึงโปรดให้สุนทรภู่ทดลองแต่ง ปรากฏว่าแต่งได้ดีเป็นที่พอพระทัย จึงทรงพระกรุณาฯ เลื่อนให้เป็น "ขุนสุนทรโวหาร"

          ต่อมาในราว พ.ศ. 2364 สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมาสุราอาละวาดและทำร้ายท่านผู้ใหญ่ แต่ติดอยู่ไม่นานก็พ้นโทษ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงติดขัดบทพระราชนิพนธ์เรื่อง"สังข์ทอง" ไม่มีใครแต่งได้ต้องพระทัย ทรงให้สุนทรภู่ทดลองแต่งก็เป็นที่พอพระราชหฤทัยภายหลังพ้นโทษ สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 และ เชื่อกันว่าสุนทรภู่แต่งเรื่อง "สวัสดิรักษา" ในระหว่างเวลานี้ ซึ่งในระหว่างรับราชการอยู่นี้ สุนทรภู่แต่งงานใหม่กับแม่นิ่ม มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ "พ่อตาบ
          "สุนทรภู่" รับราชการอยู่เพียง 8 ปี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นสุนทรภู่ก็ออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) อยู่เป็นเวลา 18 ปี ระหว่างนั้นได้ย้ายไปอยู่วัดต่าง ๆ หลายแห่ง ได้แก่ วัดเลียบ, วัดแจ้ง, วัดโพธิ์, วัดมหาธาตุ และวัดเทพธิดาราม ซึ่งผลจากการที่ภิกษุภู่เดินทางธุดงค์ไปที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ปรากฏผลงานเป็นนิราศเรื่องต่าง ๆ มากมาย งานเขียนชิ้นสุดท้ายที่ภิกษุภู่แต่งไว้ก่อนลาสิกขา คือ รำพันพิลาป โดยแต่งขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม พ.ศ. 2385 ทั้งนี้ ระหว่างที่ออกเดินทางธุดงค์ ภิกษุภู่ได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณจนพระองค์ประชวรสิ้นพระชมน์ สุนทรภู่จึงลาสิกขา รวมอายุพรรษาที่บวชได้ประมาณ 10 พรรษา สุนทรภู่ออกมาตกระกำลำบากอยู่พักหนึ่งจึงกลับเข้าไปบวชอีกครั้งหนึ่ง แต่อยู่ได้เพียง 2 พรรษา ก็ลาสิกขาบท และถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้าน้อย หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชวังเดิม รวมทั้งได้รับอุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอีกด้วย 
          ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชย์ ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง) สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุนทรโวหาร" ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวังในปี พ.ศ. 2394 และรับราชการต่อมาได้ 4 ปี ก็ถึงแก่มรณกรรมใน พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 70 ปี ในเขตพระราชวังเดิม ใกล้หอนั่งของพระยามนเทียรบาล (บัว) ที่เรียกชื่อกันว่า "ห้องสุนทรภู่" 
          สำหรับทายาทของสุนทรภู่นั้น เชื่อกันว่าสุนทรภู่มีบุตรชาย 3 คน คือ"พ่อพัด" เกิดจากภรรยาคนแรกคือแม่จัน "พ่อตาบ" เกิดจากภรรยาคนที่สองคือแม่นิ่ม และ "พ่อนิล" เกิดจากภรรยาที่ชื่อแม่ม่วง นอกจากนี้ ปรากฏชื่อบุตรบุญธรรมอีกสองคน ชื่อ "พ่อกลั่น" และ "พ่อชุบ" อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น และตระกูลของสุนทรภู่ได้ใช้นามสกุลต่อมาว่า "ภู่เรือหงส์"

โยเกิร์ต

โยเกิร์ต อาหารยืดอายุ

          ปัจจุบันคนเราหันมาใส่ใจเรื่องของ สุขภาพ กันมากขึ้น การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จึงเป็นสิ่งสำคัญของทุกคน โยเกิร์ต คือ 1 ในอาหารที่คนนิยมรับประทาน เนื่องจาก โยเกิร์ต เป็นอาหารที่ดีต่อ สุขภาพ แถมยังช่วยทำให้คนเราอายุยืนอีกด้วย 


          โยเกิร์ตทำมาจากนมที่หมักโดยการเติมเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดี ที่จัดอยู่ในจำพวก "โพรไบโอติก"ซึ่งจะเปลี่ยนน้ำตาลนม(แลคโตส) เป็นกรดแลคติก นมจึงเปลี่ยนสภาพเป็นกึ่งเหลวกึ่งข้น มีรสเปรี้ยวคล้ายนมบูด การกินโยเกิร์ตมีส่วนช่วยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ชนิดดีให้ระบบลำไส้ได้ 

          ระบบลำไส้ของคนเรามีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ 2 ชนิด คือ ชนิดดี และชนิดไม่ดี หากในลำไส้มีจุลินทรีย์ชนิดไม่ดีเยอะ ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายจะมีปัญหา เช่น ท้องเสีย ท้องผูก อาหารไม่ย่อย แต่ถ้าเรามีจุลินทรีย์ชนิดดีอยู่ มันจะยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ชนิดไม่ดีและเพิ่มภูมิต้านทานให้ระบบย่อย จุลินทรีย์ชนิดดีสามารถย่อยน้ำตาลในนมได้

          คนที่แพ้นมเพราะขาดเอนไซม์แลคโตสจึงหมดปัญหาท้องเสียหรือปวดท้องเมื่อกินโยเกิร์ต เพราะน้ำตาลแลคโตสในนมถูกเชื้อแลคโตบาซิลัสเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยระบุว่า จุลินทรีย์ชนิดดีป้องกันการติดเชื้อ คนที่ถ่ายท้องจึงกินโยเกิร์ตเพื่อช่วยลดอาการท้องเดินได้

          11 สารอาหารในโยเกิร์ต 

          การกินโยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมปริมาณสูงกว่านม เพราะกรดแลคติกในโยเกิร์ตจะย่อยแคลเซียมในนม ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวมของวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง

          ในโยเกิร์ตชนิดไขมันต่ำ 1 ถ้วย มีสารอาหารมากถึง 11 ชนิด ได้แก่ ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามิน บี 12 ทริปโทฟาน โปตัสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี วิตามิน บี 5 จึงไม่น่าแปลกใจที่โยเกิร์ตจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ชาวบัลแกเรียอายุยืน และจากผลวิจัยยังพบอีกว่าโยเกิร์ตมีประโยชน์ดังต่อไปนี้

           -โยเกิร์ตมีแคลเซียมสูง และแคลเซียมมีบทบาทในการป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันโลหิตสูง มะเร็งในลำไส้ใหญ่ ช่วยในการลดน้ำหนัก เพิ่มการเผาผลาญไขมัน

           -เชื้อแลคโตแบซิลลัสในโยเกิร์ตช่วยลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ดีในโยเกิร์ตช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ

           -กรดไขมันคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิคในโยเกิร์ต ป้องกันโรคหัวใจได้

           -งานวิจัยยังพบว่าโยเกิร์ตวันละ 2- 5 ถ้วย ช่วยลดระดับ "แกซไฮโดรเจนซัลไฟด์" ที่ทำให้ลมหายใจมีกลิ่น และลดความเสี่ยงโรคเหงือก

           -โยเกิร์ตมีแบคทีเรียที่มีชีวิต ช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินบี และวิตามินเคในลำไส้ จากงานวิจัยพบว่า การบริโภคโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตอยู่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ

           -ผู้หญิงที่ติดเชื้อยีสต์ในช่องคลอดบ่อยๆ เมื่อกินโยเกิร์ตวันละ 8 ออนซ์ เป็นเวลา 6 เดือน การติดเชื้อจะลดลงถึง 3 เท่า

          กินอย่างไรให้อายุยืน 

          โยเกิร์ตรสชาติดั้งเดิมของชาวบัลแกเรียไม่ใส่น้ำตาล และมีรสชาติเปรี้ยว แต่ผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดจะมีรสหวาน เนื่องจากผสมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมลงไปด้วย ผู้ป่วยโรคเบาหวานแนะนำให้กินรสธรรมชาติ (ไม่มีน้ำตาล ผลไม้เชื่อมหรือน้ำเชื่อมผสม) กับผลไม้สด หรือนำโยเกิร์ตมาปั่นรวมกับผลไม้และนม จะได้อาหารที่มีพลังงานเพียงพอถึงเที่ยง และถ้านำมาดัดแปลงใช้แทนมายองเนสในการทำน้ำสลัดหรือผสมทำไส้แซนด์วิชจะได้อาหารที่ชูสุขุภาพทีเดียว

          ทำโยเกิร์ตด้วยตัวเอง

          นำนมสดรสจืด 1 ลิตร ต้มด้วยไฟปานกลาง (ในภาชนะที่ล้างสะอาดและเช็ดให้แห้ง) พอเดือดอ่อนๆ ทิ้งไว้จนนมลดอุณหภูมิลงเหลือประมาณ 40 องศาเซลเซียส เติมโยเกิร์ตรสธรรมชาติลงไป ประมาณ 1 ถ้วย คนให้เข้ากัน แล้วเทแบ่งใส่ภาชนะที่มีฝาปิด วางทิ้งไว้นอกตู้เย็น 1 คืน ลองชิมดู ถ้ายังไม่เปรี้ยว อาจทิ้งไว้อีกประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือจนได้รสที่ต้องการ จึงนำเข้าแช่ตู้เย็น เวลาจะกินใส่ผลไม้ หรือธัญพืชที่ชอบลงไป คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน โยเกิร์ตนี้เก็บไว้ในตู้เย็นได้ 2-3 วัน และเก็บไว้เป็นหัวเชื้อในครั้งต่อไปได้ 

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ไข่

                         การกินไข่
ไข่เป็นอาหารดีมีประโยชน์ที่หาง่ายที่สุด เก็บง่ายที่สุด ปรุงง่ายที่สุด ราคาไม่แพงซึ่งทุกๆ คนก็สามารถ หากินได้แถมย่อยง่าย อุดมด้วยโปรตีน วิตามินเอ บี ดี และธาตุเหล็ก รวมทั้งแคลเซียม กินได้ทั้งเด็ก และ ผู้ใหญ่ ทำได้ทั้งคาวและหวาน  

          คนจีนถือว่าไข่เป็นของนำโชค ที่ต้องมีการต้มแจกเมื่อได้สมาชิกใหม่ในครอบครัว เพราะไข่เป็นทั้งหยิน และหยางในลูกเดียว มีทั้งด้านมืด ด้านสว่าง ทั้งเย็นและร้อน

          ฝรั่งบอกว่าไข่เป็นอาหารที่ให้โปรตีนอย่างยอดเยี่ยมภายในลูกเดียว กันนี่แหละ

          ทางอายุรเวทบอกว่า ไข่เป็นอาหารไม่หนักไปสำหรับร่างกาย และให้ไขมันที่ดี

          ไข่จึงเป็นอาหารจานเด่นมาตลอด จนระยะหลังๆ นี้ที่เราเริ่มจะได้ยินอะไรที่ทำให้ชักไม่ค่อยไว้ใจไข่  พวกที่ชอบค้นคว้าวิจัยก็แยกเอาไข่แดงไข่ขาวไปวิจัยว่า ไข่ขาวนั้นเป็นตัวให้โปรตีนดีมาก แต่ไข่แดงมี ไขมันสูง กินไปแล้วจะทำให้ระดับไขมันในเลือดสูงได้ อาจเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ต้องเดือดร้อนหาหมอ

          คราวนี้พวกบ้าจี้ หรือกลัวตายทั้งหลาย ก็เลยตั้งหน้ากินไข่แบบไม่ เป็นธรรมชาติกัน คือมีการบรรจงเอา ช้อนแคะไข่แดงออกจากไข่ดาว แล้วกินไข่ขาวล้วนๆ หรือปอกไข่ต้มแล้วละเลียดกินไข่ขาว ทิ้งไข่แดงไปเสีย บางคนหนักเข้าก็เอาแต่ไข่ขาวแยกออกมาตีๆๆ แล้วทำไข่เจียวหน้าตาซีดเซียวกิน แต่พวกนี้เวลากินขนมเค้ก ก็มักจะลืมว่าเขาต้องใส่ไข่ทั้งแดงและขาวเข้าไปมากๆ แถมด้วยนมเนยที่เป็นตัวเพิ่มไขมันยิ่งกว่า
         การกินไข่มีอันตรายต่อระดับไขมันในเลือดจริงหรือ? 
          อย่าเพิ่งตื่นตระหนกตกใจไปเลย เวลาได้ข่าวสารอะไรมาให้พิจารณาดูดีๆ และดูหลายๆ มุมมอง ตัวดิฉัน เองมีความเชื่อมั่นในธรรมชาติ และคิดว่าธรรมชาติรู้ดีกว่าเราในการสร้างไข่ให้มีทั้งขาวและแดง ให้มีทั้ง ไขมันและโปรตีนอยู่ในลูกเดียวกัน และขนาดก็เล็กนิดเดียว เป็นที่คาดการได้ว่าธรรมชาติย่อมอยากให้เรากิน หมดไปในคราวเดียวกัน พร้อมๆ กันทั้งลูก ให้มันผสมเข้าด้วยกัน (ตามหลักการกินแบบ Whole Food) มิฉะนั้นไข่ขาวคงไม่มีสรรพคุณกินแล้วเย็น ขณะที่ไข่แดงกินแล้วเพิ่มความร้อนให้ร่างกาย

          คุณเชื่อเรื่องการกินอาหารแบบทั้งชิ้นทั้งอัน (Whole Food) ตามธรรมชาติหรือไม่ อย่างเมล็ดข้าว 1 เมล็ดนี้ ธรรมชาติให้ส่วนประกอบมาทั้งแป้ง ทั้งวิตามิน ใช่ว่าเราจะเลือกเอาเฉพาะส่วนที่เป็นหัวแยกออกมา กินเป็น 'รำ' แต่อย่างเดียวแล้วจะดีกว่ากินข้าวทั้งเม็ดเมื่อไร ถ้าคุณรู้จักการกินที่ควรกินหลากหลาย กินพอประ มาณ กินหมุนเวียนเปลี่ยนไป คุณก็ไม่ต้องมานั่งวิตกกังวลเอากับงานวิจัยนี้เลย

          เคยเห็นไหมว่าบางคนตั้งแต่เล็กจนแก่ อาหารโปรดคือไข่ ตั้งหน้ากิน อยู่ได้ทุกวันเสียด้วย เพราะง่ายที่สุด ขี้เกียจคิดว่าจะกินอะไรดี แถม ระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายไม่เคยมีปัญหา

          ดังนั้นการที่ระดับไขมันในเลือดของคนเราจะขึ้นสูงให้น่าตกใจได้นั้น อย่าไปโทษไข่แต่เพียงอย่างเดียว ระดับไขมันที่ว่านี้มันขึ้นอยู่กับแต่ละคน และเรื่องอื่นๆ ประกอบกันด้วยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเคมีในร่างกาย การใช้ชีวิต และพฤติกรรมการกินอื่นๆ



สิ่งที่ควรกลัวในการกินไข่ 
          เวลาเราซื้อไข่นั้น เราไม่สามารถมองทะลุ เข้าไปข้างในได้ว่าไข่นี้เก่าหรือใหม่? เก็บมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน หรือเพิ่งมาจากฟาร์มเมื่อวานนี้เอง เราไม่ สามารถมองเบื้องหลังการ เลี้ยงไก่ เพื่อให้ได้มาซึ่งไข่นี้ว่า เขาตั้งหน้าตั้งตาทารุณกรรมแก่สัตว์ น้อยๆ น่ารัก นี้ด้วยการ โด๊ป ให้มันตื่นทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้หลับได้นอน ด้วยการให้มดลูกมันทำงานตลอดเวลามีหน้าที่ไข่ ไข่ และไข่ ด้วยการใส่ยาเร่ง ยาคุม ยาขจัด สารพัดเคมีให้คนเลี้ยงได้ผลผลิตที่มากที่สุด เร็วที่สุด

          บางคนอาจจะเห็นว่ามันเป็นปกติของการผลิตอาหารให้ชาวโลกกินนี่นา แต่ที่มันอันตรายมาถึงเราก็คือ สารเคมีต่างๆ ที่มันตกค้างอยู่ในไข่นี่แหละ เราผู้กินก็รับเอาไปเต็มๆ กินไปมากๆ ก็แน่นอนว่าต้องไปสะสม คงค้างอยู่ในร่างกายของเรานี่ ไก่ที่เลี้ยงกันตามฟาร์มแบบนี้ฝรั่งเขามีภาษาเรียกว่าเป็น Battery Chicken คงเหมือนกับไก่ที่ใส่ถ่านให้มันกินๆๆๆ ให้มันไข่ๆๆๆ ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยงเสีย

          ส่วนไข่จากฟาร์มที่เรียกว่าไก่แบบ Free Range หรือเลี้ยงแบบให้ไก่มีอิสระในการวิ่งเล่น ไม่มีการให้ ยาปฏิชีวนะ และให้อาหารไก่ที่เป็นอาหารธรรมชาติ ไม่ได้ทำมาจากเคมี เลี้ยงอย่างนี้ก็เหมือนวิธีที่ ชาวบ้าน สมัยก่อนเลี้ยงไก่ไว้ให้ไข่ เอามากินมาขายนั่นแหละ ไก่และไข่ ที่ได้จากการเลี้ยงแบบนี้ถือว่าเป็นอาหารธรรม ชาติที่กินแล้วดี ไม่มีเคมี ปนเปื้อนอยู่

          แล้วเราจะหาไข่ดีๆ กินได้ไหมเล่านี่ ? เรื่องอย่างนี้ก็ต้องตัวใครตัวมันก็แล้วกัน รู้เอาไว้เป็นความรู้ แล้วก็เสาะหาของดีในวิธีของเราเอง



ควรล้างไข่ก่อนใช้หรือไม่ 
          อย่างที่บอกว่าเปลือกไข่นั้นมีรูพรุนสามารถรับเอาความสกปรกไว้ได้ เมื่อซื้อไข่มาแล้วควรล้างให้สะอาด ก่อน แล้วผึ่งให้แห้งก่อนเก็บ

          ตอนล้างนี่แหละที่เราจะรู้ว่าไข่นั้นใหม่หรือเก่า ถ้าไข่จมน้ำก็แปลว่าใหม่ ถ้าลอยเท้งเต้งขึ้นมาแปลว่าไข่เก่า ไม่สมควรกิน  ล้างผึ่งแห้งแล้วควรเก็บในที่เย็นเพื่อเก็บได้นานขึ้น และไม่ควรเก็บรวมกับอาหารอื่นที่มีกลิ่น เพราะไข่ สามารถดูดซับเอากลิ่นเข้าไว้ได้ อย่างดี ถ้าจะให้ดีควรเก็บในกล่องใส่ไข่โดยเฉพาะที่มีฝาปิดมิดชิด และ ไม่ควรเก็บนานเกิน 2 อาทิตย์

          เวลาจะใช้ไข่ ควรตอกไข่ใส่ถ้วยก่อนเอาไปใช้ ให้เห็นก่อนว่าไข่นั้นดี หรือเสีย เพราะอาจจะพบไข่เน่าแล้ว ก็เป็นไปได้ หรือยังไม่เน่าแต่มี สีสันและกลิ่นไม่น่าวางใจ ไข่ที่สดใหม่นั้นให้สังเกตดูไข่แดงว่าจะกลมนูน ไม่แบน

สิ่งแวดล้อม

                                                  สิ่งแวดล้อม
 การรวมตัวกันอย่างหนาแน่นของแก๊ส จากการอุตสาหกรรม และควันพิษที่เกิด ขึ้นในอากาศที่พวกเราหายใจ เข้าไป ได้สั่งสมเพิ่มพูน สูงถึงบรรยากาศชั้นบน สิ่งนี้ได้ก่อ ให้เกิดวิกฤตการณ์พร้อมกันทีเดียว 3 อย่าง อันได้แก่ ฝนกรด ชั้นโอโซนถูกทำลาย และเกิดอากาศร้อนขึ้นทั่วโลก หรือเป็นตัวการก่อให้เกิด"ปรากฏการณ์เรือนกระจก"
แต่ละอย่าง ที่กล่าวมา แล้วนั้นสามารถก่อให้เกิดผลที่เป็น อันตรายต่อสิ่งมีชีวิตจนทำให้ถึงตายได้ยิ่ง เมื่อทั้ง 3 ปรากฏการณ์ มารวมกันแล้ว มันสามารถคุกคามโลกได้มากเท่า ๆ กับสงครามนิวเคลียร์เลย ทีเดียว
ก๊าซที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทั้ง 3 อย่าง ได้แก่ 
- ซัลเฟอร์ไดอ๊อกไซด์
- ไนโตรเจนอ๊อกไซด์
- คาร์บอนไดอ๊อกไซด์
- คลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (CFCS)
ภาวะเรือนกระจก หมายถึง ภาวะที่แสงอาทิตย์ผ่านลงมาและ ก๊าซคาร์บอน ไดอ๊อกไซด์และก๊าซอื่น ๆ ที่พอกพูนอยู่ในบรรยากาศระดับต่ำ จะตัดความร้อนเอาไว้ ไม่ให้สะท้อนออกไป ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก เหมือนกับ เรือนกระจก ที่ใช้ปลูกต้นไม้ในเมืองหนาว
ก๊าซที่พบในเรือนกระจก ได้แก่
  • คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหิน น้ำมัน แก๊ส) ในการผลิตกระแสไฟฟ้า และควัน จากยานพาหนะ
  • ก๊าซมีเธน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการสลายตัวของอินทรีย์วัตถุ โดยการกระทำของของแบคทีเรีย มักเกิดในที่มีน้ำขัง ท้องนาที่น้ำท่วมขัง ลมหายใจของวัวและตัวปลวก การเผาฟืนและป่าไม้ มีระดับการเพิ่มราวหนึ่งเปอร์เซนต์ทุก ๆ ปี ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
  • ก๊าซคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน ซึ่งใช้เป็นน้ำยาทำความเย็นใช้ทำความสะอาดและใช้เป็นวัตถุดิบ สำหรับทำโฟมพลาสติก เพิ่มขึ้น ปีละราว 5 เปอร์เซ็นต์
  • ก๊าซไนตรัสอ๊อกไซด์ ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก๊าซส่วนใหญ่ถูกปล่อยออกมาจากปุ๋ย ซึ่งมีไนโตรแจนเป็นส่วนผสมสำคัญ นอกจากนี้ยังเกิดจากการเผาถ่านหิน และเชื้อเพลิงที่เป็น ฟอสซิลอื่น ๆ รวมทั้งน้ำมันเบนซินด้วย
ก๊าซต่าง ๆ เหล่านี้มีคุณสมบัติสามารถดูดซับรังสีอินฟาเรด (รังสีที่มองไม่เห็น ปกติจะทำหน้าที่นำเอาความร้อน ส่วนเกินจากโลกขึ้นสู่อวกาศ) ได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านส่วนประกอบทางเคมีของบรรยากาศ ประมาณว่า ถ้าก๊าซเหล่านี้ มีปริมาณมากขึ้นเท่าใด ก็จะเป็นตัวเร่งที่ทำให้อากาศร้อนยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ผลกระทบจากภาวะเรือนกระจก
  • ความร้อนของอากาศที่มีอยู่ในโลกจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
  • ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เนื่องจากการละลายของน้ำแข็งในขั้วโลก ส่งผลต่อประเทศที่เป็นหมู่เกาะและชายฝั่งทวีป ตลอดจนดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่ใช้สำหรับเป็นที่ผลิตอาหารจะจมอยู่ใต้ทะเล
  • ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะรุนแรงมากขึ้น เช่น ความรุนแรงของพายุจะสัมพันธ์กับอุณหภูมิพื้นผิวหน้าของทะเล ถ้าอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นอีก ความรุนแรงของพายุเฮอร์ริเคนจะเพิ่มขึ้นอีก 40-50 %
ฝนกรด ฝนกรดเกิดจากชั้นบรรยากาศที่ถูกมนุษย์ปล่อยสิ่งสกปรกไป สะสมไว้ที่ชั้น บรรยากาศ เช่น ควัน เขม่า ละอองไอเสีย ก๊าซจากโรงงานอุตสาหกรรม จากเครื่องยนต์ ซึ่งก๊าซบางอย่างไปรวมตัวกับน้ำในบรรยากาศ ทำให้เกิดกรดขึ้น เช่น ซึ่งกรดทั้ง 3 ตัวนี้เป็นกรดแก่ ทำให้น้ำฝนเป็นกรด
ผลกระทบจากฝนกรด
  • ผู้ที่ใช้น้ำฝนเป็นน้ำดื่ม น้ำใช้ จะมีผลต่อสุขภาพเพราะฝนกรดเหล่านี้อาจทำให้เกิดพิษภัย ต่อผู้บริโภค เช่น ทำให้เป็นโรคกระเพาะ เป็นมะเร็ง อันเนื่องมาจากกรดซัลฟูริค เป็นต้น
  • ฝนกรดจะทำลายธาตุอาหารบางชนิดในดิน เช่น ไนเตรต ฟอสเฟต ทำให้ดินเป็นกรดเพิ่มขึ้น มีผลต่อการเพาะปลูก เช่นปลูกพืชผักไม่ขึ้น ได้ผลผลิตน้อยกว่าปกติ เพราะฝนกรดทำให้ดินเปรี้ยว จุลินทรีย์หลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืช ถูกทำอันตรายต่อความ เป็นกรดทั้งสิ้น พืชต้องอาศัย จุลินทรีย์จากดิน เช่น สารอินทรีย์โมเลกุล ใหญ่จะต้องถูกสลายให้เป็นโมเลกุลเล็ก พืชจึงจะดูดเข้าไปใช้ได้ หรือพืชจะต้องอาศัยอนุมูลแอมโมเนียที่จุลินทรีย์ดึงมาจากอากาศ ดังนั้น การที่มีกรดในน้ำฝนจึงลดความเจริญของจุลินทรีย์ในดิน ยังผลกระทบกระเทือนไปถึงพืชอีกด้วย
  • ฝนกรดทำลายวัสดุสิ่งก่อสร้างและอุปกรณ์บางชนิด คือ จะกัดกร่อนทำลายพวกโลหะ เช่น เหล็กเป็นสนิมเร็วขึ้น สังกะสีมุงหลังคาที่ใกล้ ๆ โรงงานจะ ผุกร่อนเร็ว สังเกตได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้แอร์ ตู้เย็น หรือวัสดุอื่น ๆ เช่น ปูนซีเมนต์หมดอายุเร็วขึ้น ผุกร่อนเร็วขึ้น เป็นต้น
  • ฝนกรดจะทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ปู หอย กุ้งสูญพันธุ์ไปได้ เพราะ ฝนกรดที่เกิดจากก๊าซซัลเฟอร์ไดอ๊ออกไซด์และเกิดจากก๊าซไนโตรเจนอ๊อกไซด์ พวกนี้จะทำให้น้ำในแม่น้ำ ทะเลสาบกลายเป็นกรด ทำให้สัตว์น้ำดังกล่าวตาย เช่น อเมริกาตอนกลาง ความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำลดลง ทำให้ทะเลสาบ 85 แห่งไม่มีปลา และทะเลสาบในประเทศวีเดน 15,000 แห่ง ไม่มีปลา และนับวันจะปราศจากปลามากขึ้น ทะเลสาบางแห่ง ป้องกันฝนกรดได้ เพราะในทะเลสาบนั้นมีสารพวกไบคาร์บอเนตละลายอยู่ หรือบางแห่งมีธาตุทางธรณีวิทยา
ชั้นโอโซนรั่ว เมื่อปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ศึกษาบรรยากาศเหนือขั้วโลกใต้ พบว่าปริมาณโอโซนที่ ครอบคลุมโลกชั้นสูงประมาณ 10-15 ไมล์ มีปริมาณ ลดลงอย่างน่าวิตก เหลือเพียง 1 ใน 3 ของระดับปกติ หลายคนอ่านข่าวนี้แล้วผ่าน เลยไป คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ประเทศไทยอยู่ห่างขั้วโลกเหลือเกิน ไม่น่าจะมี ผลกระทบกระเทือนมาถึง จึงไม่ต้องวิตกกังวล นับว่าเป็นความคิดที่ผิด แม้ช่องโหว่ ของโอโซนจะเกิดขึ้นแถบขั้วโลกใต้ ก็มีผลต่อชาวโลกทุกคน และผู้บริโภคทุกคนอาจ จะช่วยกันแก้ไขให้ปัญหานี้ลดลงได้ หากละเลยไม่ช่วยกันแก้ไขเสียตั้งแต่บัดนี้ เพียงชั่วลูกหลาน ปัญหานี้จะรุนแรงขึ้น
โอโซน เป็นก๊าซที่ประกอบด้วยอ๊อกซิเจนสามอะตอม ในบรรยากาศเหนือโลก ชั้น โอโซนที่ ครอบคลุมโลกช่วยป้องกันรังสีอุลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์มิให้มาถึงโลก มากเกินไป
บนพื้นโลก โอโซนเป็นก๊าซเสียจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม โอโซนบนผิวโลก ไม่อาจลอยขึ้นไปทดแทนบรรยากาศชั้นบน ได้แต่วนเวียนอยู่บน พื้นโลก เพียงไม่กี่วัน ก็สลายตัวกลายเป็น อ๊อกซิเจน
โอโซนส่วนใกล้พื้นดินนี้มีน้อย เกินไป และไม่ช่วยป้องกัน รังสีอุลตราไวโอเลต ในแสงจากดวงอาทิตย์มีรังสี หลายอย่าง รังสีที่อันตรายที่สุดได้แก่ รังสีอุลตราไวโอเลตบี (UV-B) ประมาณว่าถ้าปริมาณโอโซนในชั้นบรรยากาศ ที่ครอบคลุมโลกลดลงหนึ่งเปอร์เซนต์ จะทำ ให้รังสีอุลตราไวโอเลตผ่านมาถึงพื้นโลก ได้มากขึ้นถึงสองเปอร์เซนต์ ซึ่งมีผลกระทบ กระเทือนสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก
ต้นเหตุที่ทำให้ปริมาณโอโซนลดน้อยลง เป็น สารเคมีกลุ่มหนึ่งที่ใช้ในผลิตภัณฑ์หลายอย่าง ในครอบครัวและอุตสาหกรรมชื่อว่า คลอโรฟลูออโรคาร์บอนหรือ ซีเอฟซี เป็นสารที่คงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สูญหาย ค่อย ๆลอยขึ้นไปบนฟ้า กว่าจะถึงบรรยากาศชั้นบนก็กินเวลาหลายปี ซีเอฟซีถูกรังสีอุลตราไวโอเลตจะสลายตัวได้ธาตุคลอรีน ฟลูออรีนและคาร์บอน ธาตุคลอรีนนี้เอง จะทำลายโอโซน

การล้างพิษด้วยน้ำ

การล้างพิษด้วยน้ำ


.........ล้างพิษง่ายๆ ด้วยน้ำแร่ธรรมชาสำหรับการล้างพิษนั้นสามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่เป็นธรรมชาติที่สุดและสามารถทำได้ด้วยตัวเองก็คือการล้างพิษด้วยการดื่มน้ำ เราทราบกันดีแล้วว่า น้ำเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นคืนสภาพและปรับกลไกการทำงานของระบบสู่สภาวะปกติ โดยดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วต่อวัน ที่สำคัญควรจะเลือกดื่มน้ำแร่ที่คงความบริสุทธิ์จากธรรมชาติเพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด น้ำแร่เอเวียง จึงขอนำเสนอการล้างพิษน้ำด้วยแร่ธรรมชาติ 5 ขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้

1.ให้ความชุ่มชื่นแก่ร่างกายดื่มน้ำให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร เพราะจะช่วยทำความสะอาดระบบภายในร่างกายและขับออกสู่ภายนอก เลือกดื่มน้ำแร่ธรรมชาติเอเวียงจะทำให้ร่างกายได้รับคุณประโยชน์สูงสุดเพราะเป็นน้ำแร่บริสุทธิ์ที่ผ่านการกลั่นกรองจากชั้นหินที่อุดมด้วยแร่ธาตุในเทือกเขาแอลป์ ทำให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกสดใสอ่อนเยาว์ ช่วยฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้น

2.เปลี่ยนนิสัยการรับประทานรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเลือกแต่อาหารธรรมชาติที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูป และกำจัดอาหารขยะออกไปจากชีวิต เพราะอาหารขยะมีสารเคมีและวัตถุกันเสียที่ร่างกายไม่ต้องการ อีกทั้งยังไม่มีคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย แคลอรีที่ร่างกายได้รับจึงเป็นแคลอรีไร้ประโยชน์

3.นอนหลับเพื่อความงามนอนหลับให้ได้ 6-8 ชั่วโมงในแต่ละคืน เพราะเป็นโอกาสที่ร่างกายจะได้พักผ่อนและได้รับการฟื้นฟู พยายามอย่านอนดึก และอย่าลืมดื่มน้ำแร่ธรรมชาติเอเวียงก่อนเข้านอน และดื่มอีกครั้งแก้วใหญ่ๆ เต็มๆ สักแก้วเมื่อเริ่มต้นเช้าวันใหม่

4.ฟิตร่างกายการออกกำลังจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยรักษารูปร่าง ออกกำลังกายแต่พอดี อย่าหักโหมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่คุณกำลังล้างพิษ และควรดื่มน้ำแร่ธรรมชาติเอเวียงก่อนและดื่มเป็นระยะๆ ตลอดการออกกำลังกาย

5.ปลุกความสดใสให้ผิวพรรณเมื่อไรก็ตามที่คุณละเลยการดูแลตัวเอง ผิวของคุณก็จะฟ้อง การล้างพิษจะช่วยให้ของคุณกลับมาเปล่งปลั่งสดใสดังเดิม ใช้สเปรย์น้ำแร่พ่นเบาๆ ให้ทั่วผิวหน้าจะช่วยเพิ่มความสดใสมีชีวิตชีวาและยังช่วยให้เครื่องสำอางของคุณติดทนนานตลอดวัน

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การดื่มนม

นม เป็นอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมด้วยสารอาหารครบทุกหมู่ คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำตาลนมหรือแล็กโทส (lactose) และโปรตีนที่เรียกว่า เคซีน (casein) ที่จะพบในนมเท่านั้น เรียกได้ว่าดื่มนมอย่างเดียวได้ครบทุกหมู่ และยังมีแร่ธาตุสำคัญอยู่ในนมด้วยนะ

แร่ธาตุสำคัญที่มีมากในนม คือ แคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต กระดูกและฟันแข็งแรง แคลเซียมเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟันถึงร้อยละ 99 ส่วนอีกร้อยละ 1 อยู่ในเนื้อเยื่อและของเหลวของร่างกาย ถ้าร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ แคลเซียมในกระดูกจะถูกดึงมาอยู่ในกระแสเลือด เพื่อรักษาความเข้มข้นของแคลเซียมในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ ทำให้กระดูกไม่แข็งแรง และหักง่าย

อาหารในแต่ละวันอาจมีแคลเซียมไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย นมจึงเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี เด็กวัยเรียนและวัยรุ่นจึงควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว เพราะต้องการแคลเซียมมากกว่าผู้ใหญ่ เพื่อนำไปใช้สร้างกระดูกและฟัน ถ้าเด็กๆ กินแคลเซียมเพียงพอ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่และแก่ลง ก็จะทำให้ไม่เป็นโรคกระดูกพรุน

ยังมีสารอาหารสำคัญอีกชนิดหนึ่ง คือ วิตามินดี ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และช่วยให้กระดูกมีพัฒนาการที่ปกติ การกินอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีอย่างเพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำ จะทำให้สุขภาพจิตดี สุขภาพกายแข็งแรง มีโครงสร้างกระดูกที่แข็งแรงยิ่งขึ้น และมีร่างกายที่สูงใหญ่สมวัยอีกด้วย

เมื่อน้องๆ รู้ประโยชน์ของนมแล้วคงหายสงสัยว่า ทำไมผู้ใหญ่ถึงชอบให้เราดื่มนม คราวนี้ลองมาดูวิธีการเลือกซื้อและเก็บรักษานมกันดีกว่า
• นมมีหลายชนิด ทั้งนมรสจืด และนมปรุงแต่งชนิดต่างๆ การเลือกซื้อนมทุกครั้งให้สังเกตวัน เดือน ปี ที่ข้างกล่องว่า หมดอายุหรือไม่ เลือกนมที่บรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท ไม่รั่วซึมหรือบวม และนมบางชนิด เช่น นมพาสเจอร์ไรส์ หรือโยเกิร์ต ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 10 องศาเซลเซียส
• น้องๆ

บางคนไม่สามารถดื่มนมได้ เพราะทำให้ท้องเดินหรือท้องอืด นั่นเป็นเพราะร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ ก็ลองเริ่มต้นด้วยการดื่มนมครั้งละน้อยๆ เช่น ¼ แก้ว แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น หรือเปลี่ยนเป็นโยเกิร์ตแทน น้องๆ ก็จะได้รับคุณค่าจากนมเช่นเดียวกันค่ะ

วิธีที่จะปลุกปลอบใจให้เบิกบานขึ้นได้

วิธีที่จะปลุกปลอบใจให้เบิกบานขึ้นได้
ก็คือการปลุกปลอบให้กำลังใจคนอื่นๆ

ใน  1 ปีมีฤดูที่แตกต่าง   บางฤดูฝนพรำจนหัวใจเปียกปอน
บางฤดูลมหนาวบาดใจจนเจ็บร้าว  แต่ในที่สุดก็มีฤดูที่ฟ้าใส
ทะเลสวย  มี ฤดูที่ดอกไม้บานสะพรั่ง  มีฤดูที่แสงแดดอบอุ่น
และว่าวลอยเต็มฟ้า  ชีวิตคนเราก็มีฤดูกาลที่แตกต่าง
เรา     จะผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายได้ไม่ยาก   หากเรามี
ความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม  เรามีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน  รู้ดีว่าเรา
จะก้าวไปทางใด   รู้ความต้องการของเราเอง  รู้ว่ากำลัง
จะทำอะไร  และเรามีพลังใจอย่างเต็มเปี่ยมเพียงใด
 
อย่า เป็นกังวลอะไรนักกับภาพลักษณ์  หรือสิ่งที่คนอื่นจะ
มองเราว่าเป็นอย่างไร   จงทำในสิ่งที่เป็นตัวเราเองจริงๆ
แล้วพอใจกับมัน  มากกว่าที่จะคิดทำอะไร  เพียงเพื่อคาดหวัง
                       ให้คนอื่นมองเราในแง่ดี
 
หนทางที่ดีที่สุดที่จะแก้ไขความทุกข์ในใจ  คือ
พยายามหาอะไรทำให้ชีวิตยุ่งเหยิงเข้าไว้
 
ตื่น นอนตอนเช้าพร้อมกับแผนการดีๆ  ในวันนั้นแล้วทำ
ทุกอย่างอย่างใส่ใจ   อย่างมีสมาธิ  และมีความพึงพอใจตลอดวัน
แล้วก็หลับตานอนพร้อมกับความสุขใจ  ที่ได้ทำทุกอย่างอย่างดี
ที่สุดแล้ว  เพียงแค่นี้คุณก็ไม่มีเวลาจะไปนั่งอมทุกข์แล้วล่ะ
 
ใน เมื่อสิ่งที่คาดหวังยังไม่เป็นไปตามที่มุ่งมาดปรารถนา
เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้กับสิ่งเดิมๆ  แล้วลองเริ่มต้น
กับสิ่งใหม่   ที่จะเป็นไปได้ง่ายกว่า  และใกล้มือกว่าที่เคยหวัง
 
ความ หวาดกลัวก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง  ที่ทำให้เราจมอยู่กับความรู้สึก
ทุกข์เศร้า    จนไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร  และไม่กล้าเริ่มต้นใหม่
ซึ่งภาวะเช่นนี้  เป็นเรื่องเจ็บปวดมากยิ่งกว่าสภาวะที่เป็นอยู่เสียอีก
 
การที่คนอื่นๆ  มีความสุขกว่าเรานั้น   มิใช่เพราะเขาหัวเราะ
เสียงดังกว่าเรา  แต่เป็นเพราะเรามัวแต่อยากร้องไห้  และ
ไม่ยอมเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเขาเท่านั้น
 
หน้า ที่การงานจะไม่ใช้เรื่องที่ทำให้เราเหนื่อยและท้อเลยถ้าเรา
เติมความรักและความรู้สึกสนุก   ใส่ลงไปในขณะปฏิบัติงานด้วย
บางเวลาแม้มันจะหนักหนาจนเครียดบ้าง   แต่ถ้าเรามีจุดหมายที่
ชัดเจน  มีการวางแผนที่ดีและมีความรับผิดชอบที่เต็มที่  ปัญหา
ที่รบกวนจิตใจก็จะมีน้อยลง  เพราะเราจะสามารถจัดการทุกอย่างได้
โดยไม่เห็นว่ามันเป็นภาระอันหนักหน่วงเลยแม้แต่น้อย
 
ชีวิต คนควรมีช่วงที่หยุดพักบ้าง   ถ้ารู้สึกเหนื่อย ท้อหรือมีทุกข์
ที่ใจ  การหยุดพักสักครู่ไม่ทำให้ชีวิตถอยหลัง  แต่การดันทุรังสู้
ไปในขณะที่ไร้เรี่ยวแรงนั้น   จะทำให้ย่ำแย่ยิ่งกว่า
 
เมื่อไปทางเดิมไม่ได้   ก็ให้เปลี่ยนเส้นทางใหม่   อย่าอ้างว่า
ชีวิตของคุณไม่มีทางเลือก  เพราะความจริงแล้ว  ชีวิตมีทางเลือก
ให้คุณเสมอ เพียงแต่ว่าคุณไม่กล้าพอที่จะเลือกทางอื่นๆเท่านั้นเอง
 
ถ้ามีโอกาสที่จะบอกใครสักคนว่าเรารักเขา  ก็จงบอกเถิด
ถ้ามีโอกาสแสดงความรักความห่วงใยให้ใคร  ก็อย่าละเลย
โอกาสนั้น  การจะถูกรักตอบหรือไม่  ไม่ใช้เรื่องสำคัญ
ความรักเป็นความงดงาม  ที่เราไม่จำเป็นต้องอับอายหรือกลัว
เสียศักดิ์ศรีแต่อย่างใด
 
ตัดสินใจให้ดีก่อนที่จะทำในเรื่องสำคัญ   ซึ่งมีผลเกี่ยวพัน
ทางกฎหมาย   เช่น  การช่วยเหลือใครโดยการค้ำประกัน   การ
ให้ยืมเงินเป็นจำนวนมาก  หรือการร่วมเข้าหุ้นกับใคร  แม้จะ
เป็นคนกันเอง  แต่ควรพิจารณาให้รอบคอบ   วันหนึ่งหากเกิด
ปัญหาแล้วมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล   ชีวิตจะยุ่งเหยิงและเป็นทุกข์
มากกว่าเวลาที่ยอมปฏิเสธเพื่อนไป
 
ไม่  ต้องใส่ใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของใครๆ  เราต้องรู้จักวางเฉย
แม้จะรู้สึกโกรธหรือเสียใจ   แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะวิ่งไป
ตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลายทั้งปวงได้   ควรให้เวลาเป็น
เครื่องพิสูจน์การกระทำที่ดีและสม่ำเสมอ  ย่อมจะแสดงตัวออกมา
ได้ชัดเจนกว่าคำวิจารณ์ใดๆ   ในวันหนึ่งอย่างแน่นอน
 
คำพูดที่อ่อนโยน  ความคิดที่งดงาม  สามารถชุบชูใจให้ผู้อื่น
รื่นรมย์ได้   และยังช่วยสมานใจเราเองให้คลายจากความปวดร้าวทั้งปวง
บาง   วันอาจมืดมนราวกับมีเมฆฝนครึ้มท้องฟ้า  อยู่ในชีวิตของคุณ
เต็มไปหมด  แต่เราสามารถทำให้มันสดใสและสว่างขึ้นมาได้มิต้อง
ไปแสวงหาดวงตะวันที่ไหน    จิตใจของคุณนั้นแหละคือดวงตะวัน
แค่ทำให้มันสดใสขึ้นมาให้ได้เท่านั้น
เขียน   ถ้อยคำอบอุ่นแสดงความคิดถึง  หรือความยินดีในวาระ
โอกาสใดก็ได้ส่งให้เพื่อนเก่า   คนรู้จักคุ้นเคยกันหรือแม้แต่ญาติ
ผู้ใหญ่  ส่งความรู้สึกดีๆ  ผ่านถ้อยคำถึงผู้อื่นแล้วจิตใจของคุณ
จะสบายขึ้นเอง
อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง  แบ่งปันหัวใจไปห่วงใยอาทรคน
อื่นๆดูบ้าง  คนรอบข้างของคุณคงมีสักคนที่เขากำลัง
ทุกข์ร้อนหรือเศร้าโศก   อาทรเขา   ปลอบโยนเขา  แม้จะ
ช่วยเหลืออะไรไม่ได้มาก  ขอเพียงแค่แสดงความเป็น
ห่วงเขาอย่างจริงใจก็เพียงพอแล้ว
ลองไปตามสถาบันคนตาบอด   แล้วอาสาเป็นผู้อ่านหนังสือ
ใส่เทปไว้ให้คนตาบอดฟัง  ทำอะไรที่ดีและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น
บ้าง  แล้วความรู้สึกไม่ดีในใจจะเลือนจางโดยไม่ต้องนั่งกังวลว่า
จะจัดการกับความทุกข์ของตนอย่างไร


ขอบคุณเครดิต///www.umarin.com